พัฒนาการทางสติปัญญาที่เป็นวิทยาศาสตร์ ของเด็กอายุ 5 ปี มีดังนี้
1. บอกและจำแนกสีต่างๆ ได้
2. จำแนกสิ่งต่างๆ ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5 ได้ดี
3. บอกความแตกต่างของ กลิ่น สี เสียง รส รูปร่าง จำแนก และจัดหมวดหมู่สิ่งของได้
4. รู้จักใช้คำถามว่า " ทำไม " " อย่างไร "
5. สามารถสร้างผลงานตามความคิดของตนเอง โดยมีรายละเอียดเพิ่มขึ้นและแปลกใหม่
แฟ้มสะสมผลงาน รายวิชาการจัดประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย
วันอาทิตย์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2555
บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 2
วัน อังคาร ที่ 19 เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2555
ความรู้ที่ได้รับ
- อาจารย์ได้ตั้งคำถามให้เราตอบ คำว่า " รู้ " มีอะไรบ้าง
- เรียนรู้
- รับรู้
- ความรู้
- ผู้รู้
- รอบรู้
- ใฝ่รู้
สิ่งเหล่านี้เราจะทำอย่างไร เพื่อที่จะแยกแยะความแตกต่างได้ คือ การแยกประเภท เช่น การแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ นามกับกริยา นาม ก็คือ ความรู้ , ผู้รู้ กริยา ก็คือ เรียนรู้ , รับรู้ , รอบรู้ และใฝ่รู้ เป็นต้น
- การจัดประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย สามารถแยกความสำคัญออกเป็น
1. การจัดประสบการณ์
2. วิทยาศาสตร์
3. เด็กปฐมวัย
สามารถแยกแยะรายละเอียดได้ดังนี้
1. การจัดประสบการณ์
- หลักการจัดประสบการณ์
- ทฤษฎี
- กระบวนการจัดประสบการณ์
- เทคนิควิธีการ
- สื่อ / จัดสภาพแวดล้อมสนับสนุน
- การจัดประสบกสรณ์
- วิธีการประเมินผล
งานที่สั่ง
งานชิ้นที่ 1 ให้ไปหาพัฒนาการทางสติปัญญาที่เด่นที่สุด ที่เป็นวิทยาศาสตร์ ของเด็กอายุ 5 ปี
งานชิ้นที่ 2 ให้จับกลุ่ม 4-5 คน ดูจากสาระทางวิทยาศาสตร์เลือกมา 1 หัวเรื่อง แล้วแตกเนื้อหา 5 วันในการจัดกิจกรรม และไปหามาว่า " วันวิทยาศาสตร์ตรงกับวันที่เท่าไหร่ "
ความรู้ที่ได้รับ
- อาจารย์ได้ตั้งคำถามให้เราตอบ คำว่า " รู้ " มีอะไรบ้าง
- เรียนรู้
- รับรู้
- ความรู้
- ผู้รู้
- รอบรู้
- ใฝ่รู้
สิ่งเหล่านี้เราจะทำอย่างไร เพื่อที่จะแยกแยะความแตกต่างได้ คือ การแยกประเภท เช่น การแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ นามกับกริยา นาม ก็คือ ความรู้ , ผู้รู้ กริยา ก็คือ เรียนรู้ , รับรู้ , รอบรู้ และใฝ่รู้ เป็นต้น
- การจัดประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย สามารถแยกความสำคัญออกเป็น
1. การจัดประสบการณ์
2. วิทยาศาสตร์
3. เด็กปฐมวัย
สามารถแยกแยะรายละเอียดได้ดังนี้
1. การจัดประสบการณ์
- หลักการจัดประสบการณ์
- ทฤษฎี
- กระบวนการจัดประสบการณ์
- เทคนิควิธีการ
- สื่อ / จัดสภาพแวดล้อมสนับสนุน
- การจัดประสบกสรณ์
- วิธีการประเมินผล
2. วิทยาศาสตร์
- ทักษะทางวิทยาศาสตร์ --------> 1. ทักษะกระบวนการขั้นพื้นฐาน
------>การสังเกต
------>การจำแนกประเภท
------>การวัด
------>การสัมพันธภาพสเปส
------>การจัดกระทำหรือสื่อความหมาย
------>การลงความเห็นจากข้อมูล
---------> 2. ขั้นผสม
------>กำหนดและควบคุมตัวแปร
------>ตั้งสมมติฐาน
------>กำหนดนิยาม
------>ทดลอง
------>สรุป
------>การสังเกต
------>การจำแนกประเภท
------>การวัด
------>การสัมพันธภาพสเปส
------>การจัดกระทำหรือสื่อความหมาย
------>การลงความเห็นจากข้อมูล
---------> 2. ขั้นผสม
------>กำหนดและควบคุมตัวแปร
------>ตั้งสมมติฐาน
------>กำหนดนิยาม
------>ทดลอง
------>สรุป
- สาระทางวิทยาศาสตร์ --------> 1. เรื่องราวเกี่ยวกับตัวเด็ก
2. เรื่องราวเกี่ยวกับบุคคลและสถานที่แวดล้อมเด็ก
3. เรื่องราวเกี่ยวกับธรรมชาติรอบตัว
4. เรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ รอบตัวเด็ก
3. เด็กปฐมวัย
- พัฒนาการ ----------> 1. สติปัญญา
-----> ความคิด (คิดเชิงเหตุผล , คิดเชิงความคิด
สร้างสรรค์)
สร้างสรรค์)
-----> ภาษา
-----------> 2. วิธีการเรียนรู้ของเด็ก
------> การใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 กระทำกับวัตถุ
( ตา หู จมูก ลิ้น และกาย )
งานชิ้นที่ 1 ให้ไปหาพัฒนาการทางสติปัญญาที่เด่นที่สุด ที่เป็นวิทยาศาสตร์ ของเด็กอายุ 5 ปี
งานชิ้นที่ 2 ให้จับกลุ่ม 4-5 คน ดูจากสาระทางวิทยาศาสตร์เลือกมา 1 หัวเรื่อง แล้วแตกเนื้อหา 5 วันในการจัดกิจกรรม และไปหามาว่า " วันวิทยาศาสตร์ตรงกับวันที่เท่าไหร่ "
โทรทัศน์ครูที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์
เรื่องที่ 3 การมีส่วนร่วมแบบสมบูรณ์
โดย ดร. ปัทมศิริ ธีรานุรักษ์ ราจุชัยนิวัฒน์ โรงเรียน อนุบาลธีรานุรักษ์ ประธานสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย คณะ ครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ในเรื่องนี้ ท่าน ดร. ปัทมศิริ ธีรานุรักษ์ ราจุชัยนิวัฒน์ ได้กล่าวว่า การเรียนการสอนปฐมวัยในรูปแบบการสอนองค์รวมนั้น สิ่งสำคัญนอกจากการถ่ายทอดจากคุณครูไปยังเด็กๆ แล้ว การมีส่วนร่วมและความร่วมมือของผู้ปกครองถือว่าสำคัญมาก หากโรงเรียนสามารถทำให้ผู้ปกครองมีส่วนร่วมอย่างสมบูรณ์ หรือที่เรียกว่า Comprehensive Approach แล้ว จะส่งเสริมพัฒนาการการเรียนรู้ของเด็กให้พัฒนาไปได้อย่างรวดเร็วเป็นอย่างมาก
ผู้ปกครองควรจะมีส่วนร่วม ดังต่อไปนี้
1. การมีส่วนร่วมแบบ " ทำงาน "
- อาสาสมัคร
- ผู้ช่วยครู
- วิทยากรพิเศษ
2. การมีความร่วมแบบ " กระบวนการ "
- การวางแผน
- การตัดสินใจ
3. การมีส่วนร่วมแบบ " พัฒนา "
- ด้านความรู้
- ด้านทักษะ
4. การมีส่วนร่วมแบบ " สมบูรณ์ "
- การวางแผน
- การทำงาน
- การพัฒนา
การทำกิจกรรมเที่ยวนาครูธานี
มีแนวคิดเพื่อมุ่งเน้นให้เด็กมีพัฒนาการทุกๆ ด้าน ตามวิธีของการจัดการศึกษาของเด็กปฐมวัย คือ
1. มีการวางแผนร่วมกันทั้งครูและผู้ปกครองในการจัดกิจกรรม
2. การทำกิจกรรมร่วมกันกับเด็ก โดยเป็นส่วนช่วยให้เด็กกล้าที่จะทำกิจกรรม เมื่อเด็กทำได้ควรมีการเสริมแรง เพื่อให้เด็กเกิดความมั่นใจและเกิดความภาคภูมิใจในตนเอง
3. การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างผู้ปกครองกับครู ว่าหลังจากทำกิจกรรมนั้นเด็กมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร มีพัฒนาการที่ดีขึ้นมากน้อยแค่ไหน
หลังจากทำกิจกรรม
1. เด็กจะเกิดความมั่นใจและกล้าแสดงออกมากขึ้น
2. เด็กได้รู้จักการแบ่งหน้าที่การทำงาน
3. เด็กจะเข้าใจและยอมรับความสามารถที่แตกต่างกันในระหว่างเพื่อน
โดย ดร. ปัทมศิริ ธีรานุรักษ์ ราจุชัยนิวัฒน์ โรงเรียน อนุบาลธีรานุรักษ์ ประธานสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย คณะ ครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ในเรื่องนี้ ท่าน ดร. ปัทมศิริ ธีรานุรักษ์ ราจุชัยนิวัฒน์ ได้กล่าวว่า การเรียนการสอนปฐมวัยในรูปแบบการสอนองค์รวมนั้น สิ่งสำคัญนอกจากการถ่ายทอดจากคุณครูไปยังเด็กๆ แล้ว การมีส่วนร่วมและความร่วมมือของผู้ปกครองถือว่าสำคัญมาก หากโรงเรียนสามารถทำให้ผู้ปกครองมีส่วนร่วมอย่างสมบูรณ์ หรือที่เรียกว่า Comprehensive Approach แล้ว จะส่งเสริมพัฒนาการการเรียนรู้ของเด็กให้พัฒนาไปได้อย่างรวดเร็วเป็นอย่างมาก
ผู้ปกครองควรจะมีส่วนร่วม ดังต่อไปนี้
1. การมีส่วนร่วมแบบ " ทำงาน "
- อาสาสมัคร
- ผู้ช่วยครู
- วิทยากรพิเศษ
2. การมีความร่วมแบบ " กระบวนการ "
- การวางแผน
- การตัดสินใจ
3. การมีส่วนร่วมแบบ " พัฒนา "
- ด้านความรู้
- ด้านทักษะ
4. การมีส่วนร่วมแบบ " สมบูรณ์ "
- การวางแผน
- การทำงาน
- การพัฒนา
การทำกิจกรรมเที่ยวนาครูธานี
มีแนวคิดเพื่อมุ่งเน้นให้เด็กมีพัฒนาการทุกๆ ด้าน ตามวิธีของการจัดการศึกษาของเด็กปฐมวัย คือ
1. มีการวางแผนร่วมกันทั้งครูและผู้ปกครองในการจัดกิจกรรม
2. การทำกิจกรรมร่วมกันกับเด็ก โดยเป็นส่วนช่วยให้เด็กกล้าที่จะทำกิจกรรม เมื่อเด็กทำได้ควรมีการเสริมแรง เพื่อให้เด็กเกิดความมั่นใจและเกิดความภาคภูมิใจในตนเอง
3. การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างผู้ปกครองกับครู ว่าหลังจากทำกิจกรรมนั้นเด็กมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร มีพัฒนาการที่ดีขึ้นมากน้อยแค่ไหน
หลังจากทำกิจกรรม
1. เด็กจะเกิดความมั่นใจและกล้าแสดงออกมากขึ้น
2. เด็กได้รู้จักการแบ่งหน้าที่การทำงาน
3. เด็กจะเข้าใจและยอมรับความสามารถที่แตกต่างกันในระหว่างเพื่อน
โทรทัศน์ครูที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์
เรื่องที่ 2 สร้างพื้นฐานการเรียนรู้จากกิจกรรม 5 ประสาทสัมพัส
โดย คุณครู เด่นดวง ธรรมทวี โรงเรียนบ้านสำโรงเกียรติ จังหวัด ศรีสะเกษ
ในเรื่องนี้ คุณครู เด่นดวง ธรรมทวี ได้กล่าวว่า เด็กปฐมวัยเป็นวัยเริ่มต้นเรียนรู้เรื่องต่างๆ ครูจึงมีหน้าที่ป้อนความรู้พื้นฐานที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน เพื่อให้เด็กพร้อมที่จะเรียนในชั้นที่สูงขึ้น อย่างเรื่องของประสาทสัมผัสทั้ง 5 ( หู ตา จมูก ลิ้น และกาย ) ก็ได้นำสิ่งของใกล้ตัวของเด็กมาสอนเด็ก เป็นการสอนให้เด็กปฐมวัยได้มีความรู้เรื่องประสาทสัมผัสผ่านของจริงใกล้ตัว ซึ่งเป็นการเตรียมความพร้อมในการเรียนขั้นสูงต่อไป อาทิเช่น
- การมอง เด็กสามารถอธิบายได้ว่าของสิ่งนั้นมีลักษณะอย่างไร นั้นคือ เราใช้ตาในการมองเห็น ซึ่งตาเป็นประสาทสัมผัสอย่างหนึ่งนั้นเอง ทำให้เด็กได้รู้เรื่องขนาด รูปทรง เล็ก-ใหญ่ หนา-บาง เมื่อเด็กรู้แล้ว ก็ควรปล่อยให้เด็กเล่นเพื่อเป็นการเรียนรู้ด้วยตนเอง ทำให้เด็กเกิดการเรียนรู้โดยการคาดคะเน
- การฟัง โดยการใช้เสียงที่ไม่เหมือนกัน ครูจะเขย่ากระบอกเสียงให้เด็กฟังก่อน โดยเริ่มจากเสียงที่ดังที่สุดไปยังเสียงที่เบาที่สุด อาจจะทำเป็น 2 ชุด แล้วให้เด็กบอกความแตกต่างและจับคู่เสียงที่ดังเท่ากัน นอกจากกระบอกเสียงแล้วยังสามารถใช้เปลือกหอยขนาดต่างๆ ได้
- การสัมผัส การใช้ผ้าปิดตาเด็กแล้วให้เด็กสัมผัสผ้าที่มีเนื้อผ้าที่แตกต่างกัน เด็กจะได้รู้ลักษณะของผ้าที่มีความหยาบ ความหนา-บาง ความลื่น ความนุ่ม เด็กสามารถบอกความแตกต่างในสิ่งที่เขาสัมผัสได้
- การดมกลิ่น การนำเอากลิ่นที่เด็กคุ้นเคยมาให้ทดลองดม เมื่อเด็กดมก็จะต้องบอกได้ว่ากลิ่นที่ดมไปคือกลิ่นอะไร แล้วให้เด้กจับคู่ เพื่อเป็นการทดสอบความเข้าใจของการดมกลิ่น
- การชิมรส โดยการนำรสเค็ม รสเปรี้ยว รสหวาน รสขม ให้เด็กได้ชิมรส แล้วดูจากหน้าตาที่แสดงออกเพื่อเป็นการให้เด็กนำประสบการณ์เดิมที่เด็กได้รับมาตอบคำถาม และให้เด็กคิดว่าเด็กๆ เคยกินอะไรที่มีรสต่างๆ นั้นบ้าง
โดย คุณครู เด่นดวง ธรรมทวี โรงเรียนบ้านสำโรงเกียรติ จังหวัด ศรีสะเกษ
ในเรื่องนี้ คุณครู เด่นดวง ธรรมทวี ได้กล่าวว่า เด็กปฐมวัยเป็นวัยเริ่มต้นเรียนรู้เรื่องต่างๆ ครูจึงมีหน้าที่ป้อนความรู้พื้นฐานที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน เพื่อให้เด็กพร้อมที่จะเรียนในชั้นที่สูงขึ้น อย่างเรื่องของประสาทสัมผัสทั้ง 5 ( หู ตา จมูก ลิ้น และกาย ) ก็ได้นำสิ่งของใกล้ตัวของเด็กมาสอนเด็ก เป็นการสอนให้เด็กปฐมวัยได้มีความรู้เรื่องประสาทสัมผัสผ่านของจริงใกล้ตัว ซึ่งเป็นการเตรียมความพร้อมในการเรียนขั้นสูงต่อไป อาทิเช่น
- การมอง เด็กสามารถอธิบายได้ว่าของสิ่งนั้นมีลักษณะอย่างไร นั้นคือ เราใช้ตาในการมองเห็น ซึ่งตาเป็นประสาทสัมผัสอย่างหนึ่งนั้นเอง ทำให้เด็กได้รู้เรื่องขนาด รูปทรง เล็ก-ใหญ่ หนา-บาง เมื่อเด็กรู้แล้ว ก็ควรปล่อยให้เด็กเล่นเพื่อเป็นการเรียนรู้ด้วยตนเอง ทำให้เด็กเกิดการเรียนรู้โดยการคาดคะเน
- การฟัง โดยการใช้เสียงที่ไม่เหมือนกัน ครูจะเขย่ากระบอกเสียงให้เด็กฟังก่อน โดยเริ่มจากเสียงที่ดังที่สุดไปยังเสียงที่เบาที่สุด อาจจะทำเป็น 2 ชุด แล้วให้เด็กบอกความแตกต่างและจับคู่เสียงที่ดังเท่ากัน นอกจากกระบอกเสียงแล้วยังสามารถใช้เปลือกหอยขนาดต่างๆ ได้
- การสัมผัส การใช้ผ้าปิดตาเด็กแล้วให้เด็กสัมผัสผ้าที่มีเนื้อผ้าที่แตกต่างกัน เด็กจะได้รู้ลักษณะของผ้าที่มีความหยาบ ความหนา-บาง ความลื่น ความนุ่ม เด็กสามารถบอกความแตกต่างในสิ่งที่เขาสัมผัสได้
- การดมกลิ่น การนำเอากลิ่นที่เด็กคุ้นเคยมาให้ทดลองดม เมื่อเด็กดมก็จะต้องบอกได้ว่ากลิ่นที่ดมไปคือกลิ่นอะไร แล้วให้เด้กจับคู่ เพื่อเป็นการทดสอบความเข้าใจของการดมกลิ่น
- การชิมรส โดยการนำรสเค็ม รสเปรี้ยว รสหวาน รสขม ให้เด็กได้ชิมรส แล้วดูจากหน้าตาที่แสดงออกเพื่อเป็นการให้เด็กนำประสบการณ์เดิมที่เด็กได้รับมาตอบคำถาม และให้เด็กคิดว่าเด็กๆ เคยกินอะไรที่มีรสต่างๆ นั้นบ้าง
โทรทัศน์ครูที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์
เรื่องที่ 1 เรียนรู้เชิงประสบการณ์ เสริมสร้างทักษะชีวิต
โดย ดร. ชบา พันธุ์ศักดิ์ โรงเรียนวัดพระธาตุ จังหวัดสุพรรณบุรี
ในเรื่องนี้ ดร. ชบา พันธุ์ศักดิ์ ท่านได้กล่าวว่า ชั้นเรียนแรกในโรงเรียนของเด็กๆ ทุกคนคือชั้นอนุบาล ครูอนุบาลจึงเป็นครูคนแรกที่ตอกเสาเข็มชีวิตให้เด็กเจริญเติบโตไปเป็นคนดี เพราะฉนั้นเราจะต้องมุ่งให้เด็กๆ เรียนรู้ทักษะการใช้ชีวิตมากกว่าการอ่านเขียนเรียนเลข สร้างหลักสูตรร่วมกับผู้ปกครอง สอนด้วยบทเรียนแห่งประสบการณ์ตามบริบทของชุมชน เช่น การใช้บ้านรองเท้าของคุณลุงคุณป้าในหมู่บ้านเป็นห้องเรียนนอกสถานที่ ทำให้เด็กๆ เรียนรู้เรื่องราวต่างๆ ผ่านรองเท้าได้มากมาย
โดยการทำกิจกรรมนั้นจะทำเป็นขั้นตอน คือ
ขั้นที่ 1 เข้ากลุ่มตั้งคำถาม เป็นการนำเข้าสู่บทเรียน ครูจะตั้งคำถามว่าเด็กอยากรู้เรื่องอะไร และมีเรื่องอะไรที่เขาอยากรู้เพิ่มเติม ทำให้เด็กเกิดการสร้างความรู้ด้วยตัวเขาเอง ในการนำเข้าสู่บทเรียนครั้งนี้ได้ใช้การเล่านิทาน แล้วให้เด็กตั้งคำถามที่เด็กอยากรู้ เช่น ทำไมต้องใส่รองเท้า รองเท้ามาจากไหน เป็นต้น
ขั้นที่ 2 พวกเราตามไปดู ไปสถามที่จริงที่ทำรองเท้าในชุมชน โดยให้เด็กถามคำถามที่สงสัยกับชั่งทำรองเท้าเอง เพราะเด็กจะได้รับคำตอบที่ถูกต้องและเกิดเป็นองค์ความรู้ใหม่และได้รู้ศัพท์ใหม่ๆ ทำให้เด็กได้เรียนรู้จากของจริง
ขั้นที่ 3 ช่วยกันทบทวนข้อความรู้ เป็นการรวบรวมข้อความรู้ร่วมกันทั้งครูและเด็กที่เขาเจอมา ตั้งแต่การเดินทาง การทำกิจกรรม ปัญหาที่เกิดขึ้น อุปกรณ์การทำรองเท้า ขั้นตอนการทำรองเท้า และประโยชน์ของรองเท้า
ขั้นที่ 4 สรุปว่าหนูจะนำอะไรไปใช้ นำทักษะเชิงสังคม ในการทำงานเป็นกลุ่มช่วยกันคิดหาคำตอบร่วมกัน โดยการทำเสนอผ่านผลงาน เช่น ผลงานศิลปะและการเล่าเรื่อง
ขั้นที่ 5 ไหนลองทำดูสิ
ศูนย์การเรียนรู้ที่ 1 การดูแลรองเท้า โดยการที่ให้เด็กได้รู้จักวิธีการทำความสะอาดรองเท้าให้เขาได้ทำความสะอาดรองเท้าเอง
ศูนย์การเรียนรู้ที่ 2 การออกแบบรองเท้า โดยการให้เด็กได้ออกแบบรองเท้าเอง คุณครูจัดหาอุปกรณ์มาให้ที่หลากหลายให้เขาได้เลือกเอง
โดย ดร. ชบา พันธุ์ศักดิ์ โรงเรียนวัดพระธาตุ จังหวัดสุพรรณบุรี
ในเรื่องนี้ ดร. ชบา พันธุ์ศักดิ์ ท่านได้กล่าวว่า ชั้นเรียนแรกในโรงเรียนของเด็กๆ ทุกคนคือชั้นอนุบาล ครูอนุบาลจึงเป็นครูคนแรกที่ตอกเสาเข็มชีวิตให้เด็กเจริญเติบโตไปเป็นคนดี เพราะฉนั้นเราจะต้องมุ่งให้เด็กๆ เรียนรู้ทักษะการใช้ชีวิตมากกว่าการอ่านเขียนเรียนเลข สร้างหลักสูตรร่วมกับผู้ปกครอง สอนด้วยบทเรียนแห่งประสบการณ์ตามบริบทของชุมชน เช่น การใช้บ้านรองเท้าของคุณลุงคุณป้าในหมู่บ้านเป็นห้องเรียนนอกสถานที่ ทำให้เด็กๆ เรียนรู้เรื่องราวต่างๆ ผ่านรองเท้าได้มากมาย
โดยการทำกิจกรรมนั้นจะทำเป็นขั้นตอน คือ
ขั้นที่ 1 เข้ากลุ่มตั้งคำถาม เป็นการนำเข้าสู่บทเรียน ครูจะตั้งคำถามว่าเด็กอยากรู้เรื่องอะไร และมีเรื่องอะไรที่เขาอยากรู้เพิ่มเติม ทำให้เด็กเกิดการสร้างความรู้ด้วยตัวเขาเอง ในการนำเข้าสู่บทเรียนครั้งนี้ได้ใช้การเล่านิทาน แล้วให้เด็กตั้งคำถามที่เด็กอยากรู้ เช่น ทำไมต้องใส่รองเท้า รองเท้ามาจากไหน เป็นต้น
ขั้นที่ 2 พวกเราตามไปดู ไปสถามที่จริงที่ทำรองเท้าในชุมชน โดยให้เด็กถามคำถามที่สงสัยกับชั่งทำรองเท้าเอง เพราะเด็กจะได้รับคำตอบที่ถูกต้องและเกิดเป็นองค์ความรู้ใหม่และได้รู้ศัพท์ใหม่ๆ ทำให้เด็กได้เรียนรู้จากของจริง
ขั้นที่ 3 ช่วยกันทบทวนข้อความรู้ เป็นการรวบรวมข้อความรู้ร่วมกันทั้งครูและเด็กที่เขาเจอมา ตั้งแต่การเดินทาง การทำกิจกรรม ปัญหาที่เกิดขึ้น อุปกรณ์การทำรองเท้า ขั้นตอนการทำรองเท้า และประโยชน์ของรองเท้า
ขั้นที่ 4 สรุปว่าหนูจะนำอะไรไปใช้ นำทักษะเชิงสังคม ในการทำงานเป็นกลุ่มช่วยกันคิดหาคำตอบร่วมกัน โดยการทำเสนอผ่านผลงาน เช่น ผลงานศิลปะและการเล่าเรื่อง
ขั้นที่ 5 ไหนลองทำดูสิ
ศูนย์การเรียนรู้ที่ 1 การดูแลรองเท้า โดยการที่ให้เด็กได้รู้จักวิธีการทำความสะอาดรองเท้าให้เขาได้ทำความสะอาดรองเท้าเอง
ศูนย์การเรียนรู้ที่ 2 การออกแบบรองเท้า โดยการให้เด็กได้ออกแบบรองเท้าเอง คุณครูจัดหาอุปกรณ์มาให้ที่หลากหลายให้เขาได้เลือกเอง
วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2555
บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 1
วัน อังคาร ที่ 12 เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2555
ความรู้ที่ได้รับ
เนื่องจากอาจาร์มีประชุมจึงไม่มีการเรียนการสอน และได้สั่งงานไว้ ดังนี้
- ทำบล็อควิทยาศาสตร์
- ลิ้งค์มาตรฐานวิทยาศาสตร์ของ สสวท.
- ลิ้งค์รายชื่อเพื่อนในบล็อค
- ดูโทรทัศน์ครูเกี่ยวกับวิทยาศาส ตร์ (หนึ่งเรื่องซ้ำได้ไม่เกิน 3 คน)
ความรู้ที่ได้รับ
เนื่องจากอาจาร์มีประชุมจึงไม่มีการเรียนการสอน และได้สั่งงานไว้ ดังนี้
- ทำบล็อควิทยาศาสตร์
- ลิ้งค์มาตรฐานวิทยาศาสตร์ของ สสวท.
- ลิ้งค์รายชื่อเพื่อนในบล็อค
- ดูโทรทัศน์ครูเกี่ยวกับวิทยาศาส
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)